อาหารเสริมพืช ไฮไลฟ์โกร
|
ปัจจุบันเกษตรกรไทยในหลายพื้นที่ประสบปัญหาสภาพดินเสื่อมโทรมอันเนื่องมาจากการใช้ปุ๋ยเคมีมาอย่างต่อเนื่องโดยปราศจากการปรับปรุงบำรุงดินขาดการเติมอินทรีย์วัตถุให้แก่ดิน ดินจึงมีโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงไป มีลักษณะจับตัวกันแน่นแข็ง ระบบนิเวศไม่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในดิน ทำให้พืชที่ปลูกในพื้นที่เหล่านี้มีการตอบสนองกับต่อปุ๋ยเคมีที่ใส่น้องลง เกษตรกรจึงเป็นที่ต้องใส่ปุ๋ยเคมีในปริมาณที่มากขึ้น โดยหวังว่าจะให้พืชตอบสนองตามที่ต้องการ ซึ่งก่อให้เกิดความสิ้นเปลืองที่เพิ่มมากขึ้น
หลายปีที่ผ่านมาจึงได้มีการแนะนำให้หันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์กันมากขึ้น เนื่องจากมีคุณสมบัติในการเพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดิน ทำให้ดินมีโครงสร้างที่ดีขึ้น การระบายน้ำ และอากาศดีขึ้นสามารถดูดซับและใช้ธาตุอาหารในดินได้มากขึ้น ในอดีตเกษตรกรจะใช้ปุ๋ยอินทรีย์จำพวกปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยสด แต่ปัจจุบันการเพาะปลูกที่เป็นเชิงการค้ามากขึ้น เกษตรกรจึงนิยมซื้อปุ๋ยอินทรีย์ที่มีจำหน่ายในท้องตลาดเพื่อความสะดวกและประหยัดเวลา และจุดนี้เองที่ทำให้เกษตรกรถูกหลอกซ้ำซาก เพราะหลายๆครั้ง พบว่าปุ๋ยอินทรีย์ทั่วไปในท้องตลาดไม่มีคุณภาพ
บางครั้งพบว่าเป็นการนำดินมาปั้นอย่างที่เคยเกิดขึ้นเป็นข่าวเมื่อหลายปีก่อน ส่วนปุ๋ยอินทรีย์ที่มีคุณภาพดีในท้องตลาดก็มีราคาแพงพอๆกับปุ๋ยเคมีเลยทีเดียว แต่ไม่ว่าจะเป็นปุ่ยอินทรีย์ที่มีคุณภาพดีหรือไม่ดีก็ตาม มักจะพบปัญหาว่าเมื่อใช้ไประยะนึงแล้ว พืชไม่ตอบสนองแม้ว่าจะใส่มากขึ้น รวมทั้งไม่สามารถช่วยให้พืชตอบสนอง หรือผ่านพ้นช่วงวิกฤติ เช่นร้อนจัด หนาวจัดไปได้ เมื่อพืชเผชิญกับสภาพที่กล่าวมักก็จะชะงักการเจริญเติบโต
ดังนั้น ด้วยแนวความคิดที่ให้ธรรมชาติดูแลธรรมชาติ ต้องการให้เกษตรกรประหยัดต้นทุน ประหยัดเวลา ประหยัดแรงงาน ประหยัดเงิน นอกจากนี้ยังต้องมีความปลอดภัยต่อพืช สภาแวดล้อม และต่อผู้ใช้จึงได้เกิดผลิตภัณฑ์ ไฮไลฟ์โกรขึ้น
หลายปีที่ผ่านมาจึงได้มีการแนะนำให้หันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์กันมากขึ้น เนื่องจากมีคุณสมบัติในการเพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดิน ทำให้ดินมีโครงสร้างที่ดีขึ้น การระบายน้ำ และอากาศดีขึ้นสามารถดูดซับและใช้ธาตุอาหารในดินได้มากขึ้น ในอดีตเกษตรกรจะใช้ปุ๋ยอินทรีย์จำพวกปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยสด แต่ปัจจุบันการเพาะปลูกที่เป็นเชิงการค้ามากขึ้น เกษตรกรจึงนิยมซื้อปุ๋ยอินทรีย์ที่มีจำหน่ายในท้องตลาดเพื่อความสะดวกและประหยัดเวลา และจุดนี้เองที่ทำให้เกษตรกรถูกหลอกซ้ำซาก เพราะหลายๆครั้ง พบว่าปุ๋ยอินทรีย์ทั่วไปในท้องตลาดไม่มีคุณภาพ
บางครั้งพบว่าเป็นการนำดินมาปั้นอย่างที่เคยเกิดขึ้นเป็นข่าวเมื่อหลายปีก่อน ส่วนปุ๋ยอินทรีย์ที่มีคุณภาพดีในท้องตลาดก็มีราคาแพงพอๆกับปุ๋ยเคมีเลยทีเดียว แต่ไม่ว่าจะเป็นปุ่ยอินทรีย์ที่มีคุณภาพดีหรือไม่ดีก็ตาม มักจะพบปัญหาว่าเมื่อใช้ไประยะนึงแล้ว พืชไม่ตอบสนองแม้ว่าจะใส่มากขึ้น รวมทั้งไม่สามารถช่วยให้พืชตอบสนอง หรือผ่านพ้นช่วงวิกฤติ เช่นร้อนจัด หนาวจัดไปได้ เมื่อพืชเผชิญกับสภาพที่กล่าวมักก็จะชะงักการเจริญเติบโต
ดังนั้น ด้วยแนวความคิดที่ให้ธรรมชาติดูแลธรรมชาติ ต้องการให้เกษตรกรประหยัดต้นทุน ประหยัดเวลา ประหยัดแรงงาน ประหยัดเงิน นอกจากนี้ยังต้องมีความปลอดภัยต่อพืช สภาแวดล้อม และต่อผู้ใช้จึงได้เกิดผลิตภัณฑ์ ไฮไลฟ์โกรขึ้น
ไฮไลฟ์โกร เอส
เป็นสารอินทรีย์สกัดพิเศษช่วยในการส่งเสริมการเจริญเติบโตทางลำต้น เพิ่มพลังงานให้แก่พืชอย่างต่อเนื่อง ช่วยปรับโครงสร้างเนื้อเยื่อขยายเซลล์ ช่วยฟื้นฟูต้นพืชที่โทรมให้แข็งแรง ทำให้พืชทนต่อสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง และทำให้พืชดูดซับธาตุอาหารในดินเพื่อในไปใช้ในการปรับโครงสร้างได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับพืชที่ต้องการใช้พลังงานมากในช่วงเร่งการแตกหน่อ แตกกอ เร่งต้น เร่งผล เร่งดอก เร่งใบ เร่งราก ทำให้ต้นพืชสมบูรณ์แข็งแรงใช้ง่ายประหยัดลดการใช้ปุ๋ยกระสอบ
- พืชจะทนแล้งต้านหนาว
- พืชสามารถเร่งการงอกของเมล็ด
- พืชสามารถสร้างรากใหม่ และมีใบเขียวทน
- ลำต้นพืชแกร่ง และเร่งโตเร็ว
ไฮไลฟ์โกร แอล
เป็นสารอาหาร และแร่ธาตุชนิดเข้มข้นที่จำเป็น ช่วยเสริมสร้างความสมบูรณ์แข็งแรงให้แก่พืช สำหรับช่วงระยะเริ่มติดดอก ออกผล ลงหัว หรือโตสมบูรณ์ที่ ช่วยปรับปรุงคุณภาพของผลผลิตให้ได้ปริมาณสูงสุด
- เปิดตาดอก ช่วยผสมเกสร
- ส่งเสริมการสร้างและสะสมอาหารภายในต้นพืช
- เพิ่มปริมาณแป้งในพืชหัวได้มากขึ้น
- ลดการร่วงหล่น ขั้วเหนียว
- ทำให้พืชหัวมีขนาใหญ่ แข็งแรง เนื้อแน่น ใส้ไม่กลวง
- ทำให้พืชดูดซับธาตุอาหารต่างๆ ในดินได้อย่างเต็มที่
- ช่วยขยายขนาด และพัฒนาคุณภาพของผลผลิตให้ดีขึ้น
คุณสมบัติของไฮไลฟ์โกร
ไฮไลฟ์โกรเป็นนวัตกรรมที่นำเอาสารอินทรย์ธรรมชาติมาใช้ เืพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดมีความปลอดภัยต่อพืช ต่อสภาพแวดล้อม ต่อผู้ใช้และผู้บริโภค นวัตกรรมใหม่ล่าสุดของไฮไลฟ์โกร มีประสิทธิภาพดังนี้
|
|
HYLIFEGRO X-TRA 200 cc.
เป็นแบบปุ๋ยน้ำที่มันใช้กับต้นไม้ทุกชนิดที่โตแข็งแรงพร้อมจะกินปุ๋ยแล้ว และเริ่มใช้ทดแทนปุ๋ยเคมีได้ ฤดูกาลแรกที่ใช้ให้ใช้ควบคู่กะปุ๋ยเม็ดเคมีก่อนแต่ลดปริมาณปุ๋ยเม็ดลงเหลือครึ่งเดียวได้ คือค่อยๆลดค่ะ หรือจะใส่สัก 30% ก็ได้ ควบคู่ไปกะใช้ เอ็กตร้าตัวนี้...วิธีการทำงานของไฮไลฟ์โกร เอ็กตร้า คือ ใช้กะพืชปุ๊บ พืชกินได้ปั๊บ กินอิ่ม สะสมไว้ใช้ในครั้งต่อไปได้ด้วย พอหิวต้องการอาหารก็เอาที่สะสมไว้มากินต่อ อิ่มก็หยุดกิน หิวก็เอาที่สะสมไว้มากิน ......จึงทำให้การใช้เอ็กตร้า พืชสามารถทำกิจกรรมเติบโตสร้างดอกผลได้โดยไม่หยุดชะงักงันแม้อยู่ในสภาวะอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยในการเจริญเติบโตเลยก็ตาม
ข้อสำคัญ ใช้ครบวงจรเมื่อไร ไฮไลฟ์โกร เอส (สำหรับเริ่มปลุกสรางใบ สร้างความเขียวของใบ) ไฮไลฟ์โกร แอล (สำหรับพืชที่เริ่มกินปุ๋ยได้แล้ว คือโตพอ ก็ให้ตัวนี้ได้เลย เพื่อสะสมอาหารให้เค้า) ไฮไลฟ์โกร เอ็กตร้า (สำหรับพืชที่เริ่มกินปุ๋ยได้แล้ว คือโตพอ ก็ให้ตัวนี้ได้เลย และ โดยเฉพาะพืชใหญ่ค่ะ พืชผักกินใบไม่ต้องก็ได้ประหยัดไป ใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี ให้พืชได้รับแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับพืชครบถ้วน13ชนิด อีก3ได้จากอากาศ อีก4เป็นแค่ตัวเสริม) ปุ๋ยอินทรีย์เคมี(มูลค้างคาว) ก็เสริมธาตุอาหารให้พืช ทุกตัวทำให้ดีดินไม่เสีย ครบวงจรค่ะ
ข้อสำคัญ ใช้ครบวงจรเมื่อไร ไฮไลฟ์โกร เอส (สำหรับเริ่มปลุกสรางใบ สร้างความเขียวของใบ) ไฮไลฟ์โกร แอล (สำหรับพืชที่เริ่มกินปุ๋ยได้แล้ว คือโตพอ ก็ให้ตัวนี้ได้เลย เพื่อสะสมอาหารให้เค้า) ไฮไลฟ์โกร เอ็กตร้า (สำหรับพืชที่เริ่มกินปุ๋ยได้แล้ว คือโตพอ ก็ให้ตัวนี้ได้เลย และ โดยเฉพาะพืชใหญ่ค่ะ พืชผักกินใบไม่ต้องก็ได้ประหยัดไป ใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี ให้พืชได้รับแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับพืชครบถ้วน13ชนิด อีก3ได้จากอากาศ อีก4เป็นแค่ตัวเสริม) ปุ๋ยอินทรีย์เคมี(มูลค้างคาว) ก็เสริมธาตุอาหารให้พืช ทุกตัวทำให้ดีดินไม่เสีย ครบวงจรค่ะ
ปุ๋ยมูลค้างคาว ตรา เขาเพชร
ปุ๋ยมูลค้างคาว ตรา เขาเพชร สูตร 6-3-3
เหมาะสำหรับพืชทุกชนิด (คุณภาพยอดเยี่ยม)กระสอบละ 25 กิโลกรัม 1 กระสอบ ต่อ 1 ไร่
คุณสมบัติ มูลค้างคาวพันธุ์ที่กินแมลงเป็นอาหาร(แร่ธาตุครบ)ธาตุอาหารหลัก (ไนโตรเจน ฟอสเฟต โปรแทสเซี่ยม )ธาตุอาหารรอง (แคลเซี่ยม แมกนีเซี่ยม กำมะถัน )ธาตุอาหารเสริม (เหล็ก ซิลิคอน สังกะสี โบรอน โมลิบดินัม )กรดฮิวมิก- จุิลินทรีย์ ชนิดทนความร้อน(นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา) ถูกแดดโดยไม่เสื่อมสภาพและมีส่วนผสมอื่นๆอีก(ขอรายละเอียดได้) ผลการเปรีบยเทียบมูลสัตว์ต่างๆกับมูลค้างคาวมูลค้างคาวมีไนโตรเจน (N) มากกว่ามูลสัตว์อื่นๆประมาณ 20 เท่ามูลค้างคาวมีฟอสฟอรัส (P) มากกว่ามูลสัตว์อื่นๆ ประมาณ 130 เท่ามูลค้างคาวมีโพเทสเซียม (K) มากกว่ามูลสัตว์อื่นๆ ประมาณ 4 เท่า หมายเหตุ ไนโตรเจน (N) ช่วยให้พืชเจริญเติบโตดี ลำต้นและใบแข็งแรงฟอสฟอรัส (P) ช่วยให้พืชแข็งแรงทั้งส่วนราก ลำต้น ใบ ออกดอก ออกผลโพแทสเซียม (K) ทำให้ผนังเซลล์ของพืชหนาขึ้น คุณสมบัติมูลค้างคาว มูลค้างคาวที่สะสมกันในถ้ำเป็นเวลานานจนสลายตัวกลายเป็นปุ๋ย ให้ธาตุทั้งในโตรเจน ฟอสฟอรัสทและโฟแทสเซียม 1. มีปริมาณความแข็มข้นของธาตุอาหารพืชสูงทัดเทียมกับปุ๋ยเคมี หรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์ 2. ผลของการใช้ปุ๋ยมูลค้างคาว ทำให้ดินร่วนไม่เกาะกันแน่น เมื่อแข็งตัว ความเป็นกรด-ด่างของดินอยู่ในระดับที่พอเหมาะกับความเจริญเติบโตของพืช 3. การใช้มูลค้างคาว ทำให้เชื้อแบคทีเรียในดินทำการย้อยสลายอินทรีย์สารเปลี่ยนเป็นธาตุอาหารพืชได้ง่ายขึ้น 4. มูลค้างคาวให้ธาตูอาหารเสริมของพืช ได้แก่ แมกนีเซียม กำมะถัน เหล็ก แมงกานีส สังกะสี ทองแดง โบรอน และโมดินเลนั่ม อย่างพอเพียงกับความต้องการของพืช 5. การใช้ปุ๋ยมูลค้างคาวอย่างสม่ำเสมอติดต่อกันจะทำให้ผลตกค้างของปุ๋ย เคมีในดินค่อยๆสลายเป็นอาหารพืช และดินกลับสมบูรณืขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 6. มูลค้างคาวเป็นมูลสัตว์ที่ให้ธาตุอาหาร ฟอสฟอรัส เหมาะสำหรับไม้ผลที่ให้กลิ่นหอม เช่นทุเรียน ลิ้นจี่ กล้วยหอม ลำใย และมะม่วงได้ดีอีกด้วย อัตราและวิธีการใช้
ชนิดพืช : นาข้าว
ระยะที่ใช้ : ระยะแรก15 – 30 วัน อัตราการใช้ : 40 – 80 กก.ต่อไร่ วิธีการใช้ : หว่านทั่วแปลง
ระยะที่ใช้ : ระยะแรก 50 – 60 วัน อัตราการใช้ : 40 – 80 กก.ต่อไร่ วิธีการใช้ : หว่านทั่วแปลง
ชนิดพืช : ข้าวโพด
ระยะที่ใช้ : ระยะพร้อมปลูก อัตราการใช้ : 50 – 100 กก.ต่อไร่ วิธีการใช้ : โรยรองก้นหลุมพร้อมปลูก
ระยะที่ใช้ : ระยะแรก20 – 25 วัน อัตราการใช้ : 30 – 40 กก.ต่อไร่ วิธีการใช้ : โรยตามแนวข้าวโพด
ชนิดพืช : ส้ม มะนาว มะม่วง เงาะ ทุเรียน มังคุด ลำไย ลิ้นจี่ ลองกอง ฝรั่ง ชมพู่ องุ่น ปาล์ม
ระยะที่ใช้ : มีผลแล้ว อัตราการใช้ : 3 – 5 กก.ต่อต้น /ครั้ง วิธีการใช้ : หว่านรอบทรงพุ่ม
ระยะที่ใช้ : ยังไม่มีผล อัตราการใช้ : 2 – 3 กก.ต่อต้น /ครั้ง วิธีการใช้ : หว่านรอบทรงพุ่ม
ชนิดพืช : ยางพารา
ระยะที่ใช้ : กรีดแล้วต้น , ปลายฝน อัตราการใช้ : 1 – 2 กก.ต่อต้น /ครั้ง วิธีการใช้ : โรยขนานแถว
ระยะที่ใช้ : ยางเล็ก ต้น, ปลายฝน อัตราการใช้ : 0.5 กก.ต่อต้น /ครั้ง วิธีการใช้ : โรยขนานแถว
ชนิดพืช : อ้อย มัน สับปะรด
ระยะที่ใช้ : ใช้รองพื้นก่อนปลูก อัตราการใช้ : 50 – 100 กก.ต่อไร่ วิธีการใช้ : โรยในร่องแล้วกลบ
ระยะที่ใช้ : พืชอายุ 1 – 2 เดือน อัตราการใช้ : 50 – 100 กก.ต่อไร่ วิธีการใช้ : โรยข้างแถว
ชนิดพืช : พริก หอม กระเทียม แตง ถั่ว สตอเบอรี่
ระยะที่ใช้ : ใช้รองพื้นระยะให้ผล อัตราการใช้ : 50 – 100 กก.ต่อไร่ วิธีการใช้ : หว่านทั่วแปลง
ชนิดพืช : ผักทุกชนิด ยาสูบ
ระยะที่ใช้ : ใช้รองพื้น อัตราการใช้ : 50 – 100 กก.ต่อไร่ วิธีการใช้ : หว่านทั่วแปลง
เทคนิคการเพิ่มผลผลิตในนาข้าว
เทคนิคการเพิ่มผลผลิตในนาข้าว 1,500 กก.ต่อไร่
* หลังจากเมื่อข้าวอายุ 25 – 30 วัน ( หว่านปุ๋ยรอบแรก ) หว่านปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3
อัตรา 40 กก.ต่อไร่ ช่วยบำรุงต้น ขยายกอ ทำให้ต้นแข็ง ใบตั้ง ต้านทานโรคแมลง และเมื่ออายุข้าวประมาณ35 – 40
* เมื่ออายุข้าวได้ 60 – 65 วัน ( หว่านปุ๋ยรอบสอง ) หว่านปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3
อัตรา 40 กก.ต่อไร่ ช่วยบำรุงต้นข้าว ทำให้ต้นข้าวสมบูรณ์ ในช่วงข้าวตั้งท้องอ่อนๆควรใช้
* ในช่วงข้าวเริ่มออกรวงประปลาย( หว่านรับรวง( หว่านปุ๋ยรอบสาม )) หว่านปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3
อัตรา 20 กก.ต่อไร่ ช่วยบำรุงต้น สะสมอาหารสร้างรวง
สรุปการใช้ปุ๋ยและฮอร์โมนพืชในนาข้าว หว่านปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3 จำนวน 3 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 1 ช่วงข้าวอายุ 25 – 30 วัน อัตรา 40 กก.ต่อไร่
ครั้งที่ 2 ช่วงข้าวอายุ 60 – 65 วัน อัตรา 40 กก.ต่อไร่
ครั้งที่ 3 ช่วงข้าวเริ่มออกรวงประปลาย อัตรา 20 กก.ต่อไร่
สรุปผลจากการใช้ในนาข้าว
*ระยะยังไม่มีผล ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3 อัตรา 2 – 3 กก./ต้น /ครั้ง ช่วยให้ต้นสมบูรณ์ โตไว ใบใหญ่ ใบหนา ใบมัน
*ระยะมีผลแล้ว ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3 อัตรา 3 – 4 กก./ต้น /ครั้ง ช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ของต้น ทำให้ใบใหญ่ ใบหนา ใบมัน ติดดอกดก ติดผลดก ผลใหญ่ รสชาติดี น้ำหนักดี สีสวยสีเข้ม
เทคนิคการเพิ่มผลผลิตในยางพารา
*ในยางเล็กก่อนเปิดกรีด( ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 1 ช่วงต้นฝน ) ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3
อัตรา 0.5 กก./ต้น /ครั้ง ช่วยเร่งต้น ทำให้ยางโตไว ใบใหญ่ ใบหนา ใบมัน ต้นยางสมบูรณ์มาก แทงฉัตร 60 – 80 ต่อฉัตร
*ในยางเล็กก่อนเปิดกรีด( ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 ช่วงปลายฝน ) ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3
อัตรา 0.5 กก./ต้น /ครั้ง ช่วยเร่งต้น ทำให้ยางโตไว ใบใหญ่ ใบหนา ใบมัน ต้นยางสมบูรณ์มาก แทงฉัตร 60 – 80 ต่อฉัตร
*ในยางเปิดกรีด( ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 1 ช่วงต้นฝน ) ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 – 3 อัตรา 1 กก./ต้น/ครั้ง ช่วยป้องกันโรครากเน่า โคนเน่า
ป้องกันยางหน้าตาย ช่วยขยายท่อน้ำยาง ทำให้เปลือกยางนิ่ม กรีดง่าย ปริมาณน้ำยางเพิ่มขึ้น เปอร์เซ็นน้ำยางสูง
*ในยางเปิดกรีด( ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 ปลายฝน ) ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 – 3 อัตรา 1 กก./ต้น/ครั้ง ช่วยป้องกันโรครากเน่า โคนเน่า
ป้องกันยางหน้าตาย ช่วยขยายท่อน้ำยาง ทำให้เปลือกยางนิ่ม กรีดง่าย ปริมาณน้ำยางเพิ่มขึ้น เปอร์เซ็นน้ำยางสูง
เหมาะสำหรับพืชทุกชนิด (คุณภาพยอดเยี่ยม)กระสอบละ 25 กิโลกรัม 1 กระสอบ ต่อ 1 ไร่
คุณสมบัติ มูลค้างคาวพันธุ์ที่กินแมลงเป็นอาหาร(แร่ธาตุครบ)ธาตุอาหารหลัก (ไนโตรเจน ฟอสเฟต โปรแทสเซี่ยม )ธาตุอาหารรอง (แคลเซี่ยม แมกนีเซี่ยม กำมะถัน )ธาตุอาหารเสริม (เหล็ก ซิลิคอน สังกะสี โบรอน โมลิบดินัม )กรดฮิวมิก- จุิลินทรีย์ ชนิดทนความร้อน(นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา) ถูกแดดโดยไม่เสื่อมสภาพและมีส่วนผสมอื่นๆอีก(ขอรายละเอียดได้) ผลการเปรีบยเทียบมูลสัตว์ต่างๆกับมูลค้างคาวมูลค้างคาวมีไนโตรเจน (N) มากกว่ามูลสัตว์อื่นๆประมาณ 20 เท่ามูลค้างคาวมีฟอสฟอรัส (P) มากกว่ามูลสัตว์อื่นๆ ประมาณ 130 เท่ามูลค้างคาวมีโพเทสเซียม (K) มากกว่ามูลสัตว์อื่นๆ ประมาณ 4 เท่า หมายเหตุ ไนโตรเจน (N) ช่วยให้พืชเจริญเติบโตดี ลำต้นและใบแข็งแรงฟอสฟอรัส (P) ช่วยให้พืชแข็งแรงทั้งส่วนราก ลำต้น ใบ ออกดอก ออกผลโพแทสเซียม (K) ทำให้ผนังเซลล์ของพืชหนาขึ้น คุณสมบัติมูลค้างคาว มูลค้างคาวที่สะสมกันในถ้ำเป็นเวลานานจนสลายตัวกลายเป็นปุ๋ย ให้ธาตุทั้งในโตรเจน ฟอสฟอรัสทและโฟแทสเซียม 1. มีปริมาณความแข็มข้นของธาตุอาหารพืชสูงทัดเทียมกับปุ๋ยเคมี หรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์ 2. ผลของการใช้ปุ๋ยมูลค้างคาว ทำให้ดินร่วนไม่เกาะกันแน่น เมื่อแข็งตัว ความเป็นกรด-ด่างของดินอยู่ในระดับที่พอเหมาะกับความเจริญเติบโตของพืช 3. การใช้มูลค้างคาว ทำให้เชื้อแบคทีเรียในดินทำการย้อยสลายอินทรีย์สารเปลี่ยนเป็นธาตุอาหารพืชได้ง่ายขึ้น 4. มูลค้างคาวให้ธาตูอาหารเสริมของพืช ได้แก่ แมกนีเซียม กำมะถัน เหล็ก แมงกานีส สังกะสี ทองแดง โบรอน และโมดินเลนั่ม อย่างพอเพียงกับความต้องการของพืช 5. การใช้ปุ๋ยมูลค้างคาวอย่างสม่ำเสมอติดต่อกันจะทำให้ผลตกค้างของปุ๋ย เคมีในดินค่อยๆสลายเป็นอาหารพืช และดินกลับสมบูรณืขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 6. มูลค้างคาวเป็นมูลสัตว์ที่ให้ธาตุอาหาร ฟอสฟอรัส เหมาะสำหรับไม้ผลที่ให้กลิ่นหอม เช่นทุเรียน ลิ้นจี่ กล้วยหอม ลำใย และมะม่วงได้ดีอีกด้วย อัตราและวิธีการใช้
ชนิดพืช : นาข้าว
ระยะที่ใช้ : ระยะแรก15 – 30 วัน อัตราการใช้ : 40 – 80 กก.ต่อไร่ วิธีการใช้ : หว่านทั่วแปลง
ระยะที่ใช้ : ระยะแรก 50 – 60 วัน อัตราการใช้ : 40 – 80 กก.ต่อไร่ วิธีการใช้ : หว่านทั่วแปลง
ชนิดพืช : ข้าวโพด
ระยะที่ใช้ : ระยะพร้อมปลูก อัตราการใช้ : 50 – 100 กก.ต่อไร่ วิธีการใช้ : โรยรองก้นหลุมพร้อมปลูก
ระยะที่ใช้ : ระยะแรก20 – 25 วัน อัตราการใช้ : 30 – 40 กก.ต่อไร่ วิธีการใช้ : โรยตามแนวข้าวโพด
ชนิดพืช : ส้ม มะนาว มะม่วง เงาะ ทุเรียน มังคุด ลำไย ลิ้นจี่ ลองกอง ฝรั่ง ชมพู่ องุ่น ปาล์ม
ระยะที่ใช้ : มีผลแล้ว อัตราการใช้ : 3 – 5 กก.ต่อต้น /ครั้ง วิธีการใช้ : หว่านรอบทรงพุ่ม
ระยะที่ใช้ : ยังไม่มีผล อัตราการใช้ : 2 – 3 กก.ต่อต้น /ครั้ง วิธีการใช้ : หว่านรอบทรงพุ่ม
ชนิดพืช : ยางพารา
ระยะที่ใช้ : กรีดแล้วต้น , ปลายฝน อัตราการใช้ : 1 – 2 กก.ต่อต้น /ครั้ง วิธีการใช้ : โรยขนานแถว
ระยะที่ใช้ : ยางเล็ก ต้น, ปลายฝน อัตราการใช้ : 0.5 กก.ต่อต้น /ครั้ง วิธีการใช้ : โรยขนานแถว
ชนิดพืช : อ้อย มัน สับปะรด
ระยะที่ใช้ : ใช้รองพื้นก่อนปลูก อัตราการใช้ : 50 – 100 กก.ต่อไร่ วิธีการใช้ : โรยในร่องแล้วกลบ
ระยะที่ใช้ : พืชอายุ 1 – 2 เดือน อัตราการใช้ : 50 – 100 กก.ต่อไร่ วิธีการใช้ : โรยข้างแถว
ชนิดพืช : พริก หอม กระเทียม แตง ถั่ว สตอเบอรี่
ระยะที่ใช้ : ใช้รองพื้นระยะให้ผล อัตราการใช้ : 50 – 100 กก.ต่อไร่ วิธีการใช้ : หว่านทั่วแปลง
ชนิดพืช : ผักทุกชนิด ยาสูบ
ระยะที่ใช้ : ใช้รองพื้น อัตราการใช้ : 50 – 100 กก.ต่อไร่ วิธีการใช้ : หว่านทั่วแปลง
เทคนิคการเพิ่มผลผลิตในนาข้าว
เทคนิคการเพิ่มผลผลิตในนาข้าว 1,500 กก.ต่อไร่
* หลังจากเมื่อข้าวอายุ 25 – 30 วัน ( หว่านปุ๋ยรอบแรก ) หว่านปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3
อัตรา 40 กก.ต่อไร่ ช่วยบำรุงต้น ขยายกอ ทำให้ต้นแข็ง ใบตั้ง ต้านทานโรคแมลง และเมื่ออายุข้าวประมาณ35 – 40
* เมื่ออายุข้าวได้ 60 – 65 วัน ( หว่านปุ๋ยรอบสอง ) หว่านปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3
อัตรา 40 กก.ต่อไร่ ช่วยบำรุงต้นข้าว ทำให้ต้นข้าวสมบูรณ์ ในช่วงข้าวตั้งท้องอ่อนๆควรใช้
* ในช่วงข้าวเริ่มออกรวงประปลาย( หว่านรับรวง( หว่านปุ๋ยรอบสาม )) หว่านปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3
อัตรา 20 กก.ต่อไร่ ช่วยบำรุงต้น สะสมอาหารสร้างรวง
สรุปการใช้ปุ๋ยและฮอร์โมนพืชในนาข้าว หว่านปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3 จำนวน 3 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 1 ช่วงข้าวอายุ 25 – 30 วัน อัตรา 40 กก.ต่อไร่
ครั้งที่ 2 ช่วงข้าวอายุ 60 – 65 วัน อัตรา 40 กก.ต่อไร่
ครั้งที่ 3 ช่วงข้าวเริ่มออกรวงประปลาย อัตรา 20 กก.ต่อไร่
สรุปผลจากการใช้ในนาข้าว
- ราก ทำให้รากยาว ขาวอวบ พืชหาอาหารได้ดีกว่า ทำให้เจริญเติบดตได้ดี
- แตกกอดี ช่วยเพิ่มการแตกกอ เพิ่มจำนวนต้น รวงที่มากขึ้น ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น
- เขียว ข้าวเขียวทนเขียวนานกว่าใช้ปุ๋ยเคมี ข้าวเริ่มเขียวพร้อมกัน เขียวเสมอกัน
- ต้นเขียวใบตั้ง ลำต้นแข็งแรง ข้าวไม่ล้ม ช่วยต้านทานโรคและแมลงได้ดี ช่วยลดค่ายาฆ่าแมลงลงได้
- ข้าวรวงใหญ่ รวงยาว เมล็ดข้าวแกร่ง ไม่ลีบ น้ำหนักดี ข้าวสุกแก่พร้อมกัน ไม่โดนตัดราคา
- ขั้วเหนียว ข้าวไม่หลุดร่วงง่าย ลดการสูญเสียผลผลิต ทำให้ได้ผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้น
- ข้าวสุกก่อน เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ก่อน ช่วยลดต้นทุนค่าสูบน้ำเข้านา
- ช่วยปราบหอยเชอรี่ได้ ช่วยลดต้นทุนค่ายาปราบหอย
- ดินเป็นหล่ม สภาพดินดี มีธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์ ปุ๋ยมูลค้างคาวสามารถปลดปล่อยธาตุอาหารได้ดีกว่าและนานกว่าปุ๋ยเคมี ทำให้ธาตุอาหารในดินมีมาก สังเกตจากใบธงเขียวยันวันเกี่ยว ช่วยปรับโครงสร้างดิน ฟื้นฟูสภาพดิน ทำให้ดินดีขึ้น
*ระยะยังไม่มีผล ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3 อัตรา 2 – 3 กก./ต้น /ครั้ง ช่วยให้ต้นสมบูรณ์ โตไว ใบใหญ่ ใบหนา ใบมัน
*ระยะมีผลแล้ว ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3 อัตรา 3 – 4 กก./ต้น /ครั้ง ช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ของต้น ทำให้ใบใหญ่ ใบหนา ใบมัน ติดดอกดก ติดผลดก ผลใหญ่ รสชาติดี น้ำหนักดี สีสวยสีเข้ม
เทคนิคการเพิ่มผลผลิตในยางพารา
*ในยางเล็กก่อนเปิดกรีด( ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 1 ช่วงต้นฝน ) ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3
อัตรา 0.5 กก./ต้น /ครั้ง ช่วยเร่งต้น ทำให้ยางโตไว ใบใหญ่ ใบหนา ใบมัน ต้นยางสมบูรณ์มาก แทงฉัตร 60 – 80 ต่อฉัตร
*ในยางเล็กก่อนเปิดกรีด( ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 ช่วงปลายฝน ) ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 - 3
อัตรา 0.5 กก./ต้น /ครั้ง ช่วยเร่งต้น ทำให้ยางโตไว ใบใหญ่ ใบหนา ใบมัน ต้นยางสมบูรณ์มาก แทงฉัตร 60 – 80 ต่อฉัตร
*ในยางเปิดกรีด( ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 1 ช่วงต้นฝน ) ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 – 3 อัตรา 1 กก./ต้น/ครั้ง ช่วยป้องกันโรครากเน่า โคนเน่า
ป้องกันยางหน้าตาย ช่วยขยายท่อน้ำยาง ทำให้เปลือกยางนิ่ม กรีดง่าย ปริมาณน้ำยางเพิ่มขึ้น เปอร์เซ็นน้ำยางสูง
*ในยางเปิดกรีด( ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 ปลายฝน ) ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 6 - 3 – 3 อัตรา 1 กก./ต้น/ครั้ง ช่วยป้องกันโรครากเน่า โคนเน่า
ป้องกันยางหน้าตาย ช่วยขยายท่อน้ำยาง ทำให้เปลือกยางนิ่ม กรีดง่าย ปริมาณน้ำยางเพิ่มขึ้น เปอร์เซ็นน้ำยางสูง